วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

อิสลาม.....ปรับความเข้าใจ

ผมขอเกริ่นนำให้ทราบถึงโครงสร้างของศาสนาคร่าวๆก่อนดังนี้

...อิสลาม เป็นชื่อศาสนา ซึ่งตามรากศัพท์แล้วมีสองความหมาย คือ

1.)สันติ

2.)การยอมจำนนต่อเจตนารมณ์ของพระเจ้า

แน่นอนครับเมื่อมีการน้อมรับและปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า มันจึงจะทำให้เกิดความสันติ

มุสลิม หมายถึงคนที่นับถือศาสนาอิสลาม หรือมีความหมายว่า “ผู้ที่ยอมจำนนต่อเจตนารมณ์ของพระเจ้า”

จากตรงนี้ท่านคงแยกแยะออกแล้วนะครับว่า“อิสลาม”คือศาสนา ส่วน“มุสลิม”คือคน

ดังนั้นเวลาท่านเห็นคนมุสลิมไปทำชั่ว ไปกินเหล้า ไปตีหัวคน ก็อย่าบอกว่า “อิสลาม”ชั่ว! แต่ให้ใช้คำว่า“มุสลิม”คนนั้นชั่ว!

ประการต่อมาให้ทราบว่าอิสลามไม่ใช่ชื่อ“เชื้อชาติ” (เช่นไทย, จีน, ฝรั่ง, แขก) ดังนั้นก็อย่าเข้าใจว่าอิสลามคือแขก! หรือไปเข้าใจว่าแขกคืออิสลาม! เพราะแขกนั้นมีหลายศาสนาเหลือเกิน โดยเฉพาะอินเดีย, เนปาล, ศรีลังกา ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และพุทธ (อย่าลืมสิครับว่าศาสนาพุทธมาจากไหน?)


ฉะนั้นในเมื่ออิสลามเป็นศาสนาที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งปวงในสากลโลกและสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย อิสลามจึงเป็นศาสนาของมนุษย์ทุกเชื้อชาติทุกเผ่าพันธุ์นับตั้งแต่อาดัมมนุษย์คนแรกที่เกิดมาบนโลกจนกระทั่งถึงยุคสุดท้ายของมนุษยชาติ โดยมีศาสดาจำนวนมากมายที่พระผู้เป็นเจ้าได้แต่งตั้งให้ทำหน้าที่เผยแผ่ศาสนาของพระองค์ เพื่อมนุษย์จะได้ดำรงชีวิตอยู่บนโลกอย่างมีศีลธรรมและมีความสงบสันติ และจะได้รับผลตอบแทนในโลกหน้า โดยมีศาสดาคนสุดท้ายแห่งมนุษยชาติก็คือท่านนบีมุฮัมมัดนั่นเอง ถึงแม้ท่านจะเป็นคนอาหรับ แต่ศาสนาที่ท่านนำมาไม่ได้ถูกจำกัดไว้นับถือเฉพาะคนอาหรับเท่านั้น แต่มันเป็นศาสนาสำหรับมนุษย์ทั้งโลกไม่ว่าจะผิวขาว, ผิวดำ หรือผิวเหลืองก็ตามเอาล่ะครับเมื่อเราเข้าใจแก่นของศาสนาแล้ว

เราก็มาดูเรื่องข้อสงสัยเกี่ยวกับอิสลามกัน ซึ่งถึงแม้คำถามหรือข้อสงสัยเหล่านี้บางข้อก็ไม่ใช่ส่วนที่เป็นหลักสำคัญของศาสนา แต่ก็มักจะเป็นคำถามที่คนถามบ่อยเพราะเป็นส่วนที่ทำให้มุสลิมมีความแตกต่างไปจากศาสนิกอื่นนั่นเองโดยหลักการแล้ว เหตุผลของมุสลิมที่จะกระทำสิ่งใดก็เนื่องจากพระเจ้าสั่งหรืออนุญาตให้กระทำ และมุสลิมจะไม่กระทำสิ่งใดก็เนื่องจากพระเจ้าสั่งห้ามไม่ให้กระทำ มันเป็นเหตุผลที่เพียงพอสำหรับมุสลิม

แต่สำหรับคนต่าง ศาสนิกอาจมองว่าเหตุผลยังไม่เพียงพอหรืออาจมองว่ามุสลิมนั้นเป็นประชาชาติที่ไม่นิยมใช้เหตุผล ..

ดูเหมือนจะใช่ครับ แต่ว่าไม่ใช่!ที่ถูกคืออิสลามสอนให้ใช้เหตุผลใช้ปัญญาในช่วงแรก และให้ใช้ความศรัทธาในช่วงหลัง...อิสลามสอนให้มนุษย์ใช้เหตุผล ใช้ปัญญา และสามัญสำนึกในการ“แสวงหาพระเจ้า” อิสลามจะไม่สอนให้มนุษย์ศรัทธาพระเจ้าด้วยวิธีงมงาย หรือใช้วิธีการรอปาฏิหาริย์เพื่อพิสูจน์ว่าพระเจ้ามีจริง แต่อิสลามจะสอนให้มนุษย์ได้ใช้ปัญญาพิจารณาธรรมชาติ ..ให้ใคร่ครวญอย่างหนักว่าใครคือผู้สร้าง ..ให้ใคร่ครวญอย่างหนักว่าใครคือผู้ที่ควรแก่การถูกสักการะบูชา ..ให้ใคร่ครวญอย่างหนักว่าศาสนาไหนกันแน่ที่เป็นสัจธรรม ..ไม่ใช่สักแต่เพียงหลับหูหลับตานับถือศาสนาหรือความเชื่อตามบรรพบุรุษปู่ย่าตายาย และเมื่อหาข้อสรุปลงเอยได้แล้วว่า สรรพสิ่งทั้งปวงนั้นมีผู้สร้าง มีผู้บริหาร มีผู้คุมกฎธรรมชาติ และผู้สร้างนั้นมีอยู่หนึ่งเดียว และนบีมุฮัมมัดเป็นศาสดาคนสุดท้ายที่พระองค์แต่งตั้งให้มนุษย์เชื่อฟัง และอัล-กุรอานคือคัมภีร์เล่มสุดท้ายอันเป็นธรรมนูญสูงสุดที่จะมาควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ ..

ใครที่ศรัทธาแบบนี้เขาคือ“มุสลิม”ดังนั้นการที่ใครมีชื่อมุสลิม เกิดมาในครอบครัวมุสลิมนั้นไม่เพียงพอนะครับต่อการที่เขาจะเป็นมุสลิม นอกจากว่าเขาจะต้องมีความศรัทธาด้วย เพราะอิสลามเป็นศาสนา ไม่ใช่ประเพณี..

และขอเรียนให้ทราบว่าเรื่องกฎบัญญัติข้อสั่งใช้และสั่งห้ามนั้น ไม่ใช่หลักการที่มุสลิมอุตริตั้งกฎขึ้นมาเอง หรือไม่ใช่ว่าจะไปเอาประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นใดๆมายึดถือปฏิบัติกันได้

แต่มุสลิมจะยึดถือตามบัญญัติที่มาจากพระเจ้าเท่านั้นนั่นก็คือ

1. คัมภีร์อัล-กุรอาน(เป็นพระดำรัสของพระเจ้า)

2. หะดีษ (แบบฉบับของท่านนบีมุฮัมมัด ซึ่งมีทั้งคำพูด, การกระทำ และการนิ่งเฉยยอมรับในสิ่งที่สาวกกระทำ)ทีนี้มาถึงคำถามที่ชาวต่างศาสนิกมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอิสลามว่าสิ่งเหล่านี้มันมีเหตุผลหรือมีคำตอบหรือไม่?

การอดอาหาร

ถือศีลอด(Fasting)


-สังคม
การฝึกฝนระเบียบการดำเนินชีวิตในสังคมเป็นส่วนดีอย่างหนึ่งของการถือศีลอด เพราะเป็นมาตรการหนึ่งในการรับรู้ปัญหาโดยตรงของเรื่องความยากจน ทำให้สังคมเข้าใจในความรู้สึกดังกล่าว และจะมีความยินดีที่จะสละซึ่งทรัพย์ส่วนตัว ในการช่วยเหลือ ประชากรในจำนวนดังกล่าว เพื่อให้สังคมไม่ห่างกันทั้งในด้านระบบรายได้ และการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

-ความปลอดภัย (สุขภาพ)
ตลอดระยะเวลา 11 เดือน ที่ร่างกายได้ทำงานมาโดยตลอด การถือศีลอดนี้จะเป็นการทำให้ส่วนที่ได้ทำงานนั้นได้มีการพักผ่อนและรักษาตัวเอง โดยที่การแพทย์ได้ทำการรับรองแล้ว ว่า การอดอาหารในภาวะที่พอเหมาะเป็นการสร้างสมาธิให้กับสมอง และร่างกาย โดยมีการวิจัยต่างๆมากมาย

วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ฮิญาบ....ผ้าคลุมหัว

ทำไมสิ่งนี้จึงมีในอิสลาม
Why have these in Islam?
ผ้าคลุมหัว.....ฮิญาบ(Hijab)


-สังคม (society)
เพิ่มระบบความเรียบร้อยให้สังคม โดยจะไม่มีสิ่งยั่วยวนเกิดขึ้นในที่สังคม โดยมีหลักเกณฑ์คร่าวๆคือการปกปิดความสวยงามของสตรี โดยมิใช่เป็นการละเมิดเสรีภาพแต่อย่างใด เพราะการควบคุมลักษณะนี้ ไม่ต่างอะไรกับกฎหมาย เรื่องอนาจาร เพียงแต่จะมีกรอบควบคุมที่รัดกุมกว่านั่นเอง

-ความปลอดภัย (Safety)
คงสภาพความปลอดภัยของสตรี จากการถูกละเมิดทางสายตา เนื่องจาก การถูกทำให้ไม่เป็นที่สนใจทางด้านการแต่งกาย ซึ่งปกปิดส่วนที่ยั่วยวน เปรียบได้กับ การรักษา ของมีค่าที่เป็นทรัพย์สิน ซึ่งจะทำให้มีความปลอดภัยกว่านั่นเอง

-เพิ่มระดับของสิทธิสตรี
สตรีนั้นย่อมไม่ใช่สินค้าของสังคมตามที่ กระแสของสังคมได้เป็นไปเช่นนั้น การคลุมฮิญาบ จึงเป็นการระงับ ความต้องการของสังคมที่จะนำสตรี ไปเป็นสินค้าที่นำเสนอคู่กับสินค้า เพราะ ไม่เป็นที่สนใจสำหรับคนทั่วไปหากมีการปกปิดร่างกายส่วนดังกล่าว

วันพุธที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2551